ถ้าขับแล้วได้ยิน/รู้สึกแรงกระแทก ตุบ–ตุบ เป็นจังหวะซ้ำ ๆ โดยมากจะสัมพันธ์กับ “รอบการหมุนของล้อ” มากกว่าความเร็วเครื่องยนต์ อาการนี้ชี้ว่ามีสิ่ง ผิดรูปหรือผิดสมดุล บริเวณยาง–ล้อ ซึ่งบางกรณี อันตรายถึงขั้นห้ามวิ่งเร็ว (เช่น ยางบวมแตกชั้น)
สาเหตุยอดฮิตของเสียง “ตุบ–ตุบ”
- ยางบวม (Sidewall/Tread Bulge)
เกิดจากการกระแทกหลุม/ขอบทางแรง ๆ โครงสร้างชั้นในเสียหาย → หน้ายางหรือแก้มยางโป่งเป็น “กระเปาะ”
- สัญญาณ: รู้สึก “ตุบ” ชัดขึ้นตามความเร็ว, มองเห็นบวมชัดตอนหมุนล้อช้า ๆ
- ระดับอันตราย: สูงมาก → เสี่ยงยางระเบิด ควรหยุดใช้ทันทีและเปลี่ยน
- ล้อคด/ดุมล้อบิด (Bent Rim/Out-of-Round)
ล้อกระแทกจนผิดรูป → หมุนไม่กลม จึงเตะเป็นจังหวะ
- สัญญาณ: “ตุบ–ตุบ” ต่อเนื่อง, สั่นขึ้นพวงมาลัย, รั่วซึมลมยางร่วมด้วย
- แก้ไข: ซ่อมล้อ (หากซ่อมได้) หรือเปลี่ยนล้อ
- เศษหิน/น็อต/วัสดุคาในดอกยาง
วัตถุเสียบติดบล็อกดอกยาง หมุนถึงพื้นทีไรก็ตุบทุกครั้ง
- สัญญาณ: เสียงเป็น “จังหวะสม่ำเสมอ” เป๊ะตามรอบล้อ
- แก้ไข: ดึงออกอย่างระวัง แล้วเช็กรั่วด้วยน้ำสบู่
- ยางเสียรูป/แฟลตสปอต (Flat Spot)
จอดทิ้งนานหรือเบรกหนักทำให้ยางค้างรูป
- สัญญาณ: ตุบช่วงแรก ๆ แล้วค่อยดีขึ้นเมื่อยางอุ่น
- แก้ไข: ขับให้ยางอุ่น ถ้าไม่หาย = เสียรูปถาวร ควรเปลี่ยน
- ปุ่มดอกหลุด/บล็อกแตก (Chunking)
เจอบ่อยกับการใช้งานหนัก/ทางขรุขระ
- สัญญาณ: เคาะตุบ ๆ ที่ความเร็วปานกลาง–สูง เสียงดังร่วมกับสั่น
- แก้ไข: ประเมินอายุยางและการใช้งาน เปลี่ยนหากเสียหายมาก
- นอตล้อหลวม/ขันแรงไม่เท่ากัน
อันตรายมาก ล้ออาจคลอนจนหน้าจับไม่แน่น
- สัญญาณ: ตุบเป็นจังหวะ + รู้สึกโยก/ครางที่ดุม
- แก้ไข: จอดปลอดภัย ตรวจ–ขันทอร์กตามสเปกทันที
- จานเบรกคด/ผ้าเบรกค้าง (กรณีเกิดเฉพาะตอนเบรก)
- สัญญาณ: “ตุบ–ตุบ” ชัดขณะเหยียบเบรกเท่านั้น
- แก้ไข: ตรวจจาน–คาลิเปอร์ เซอร์วิส/เปลี่ยนตามอาการ
แยกต้นเหตุแบบเร็ว ๆ (ทำได้เองก่อนเข้าอู่)
- สังเกตจังหวะ: เป็นไปตาม “รอบล้อ” (ตุบถี่ขึ้นเมื่อเร็วขึ้น) → โฟกัสยาง/ล้อ ก่อน
- ก้มดูด้วยตา: มองหาจุด “บวม/กระเปาะ/บาด/แตก” บนหน้ายาง–แก้มยาง
- คลำหน้ายาง: ลูบรอบวง หากสะดุดเป็นปุ่ม ๆ หรือเป็น “ลอน” = เสียรูป/ดอกหลุด
- กลิ้งล้อช้า ๆ: มองด้านข้างดูว่า “แกว่งเป็นวงไข่” หรือไม่ (ล้อคด/ยางเบี้ยว)
- เช็กดอกยาง: มีหิน/น็อต/เศษโลหะฝังหรือไม่
- เช็กลูกนอตล้อ: ขันครบทุกตัวแน่นเท่ากันหรือเปล่า (ใช้ประแจทอร์กถ้ามี)
⚠️ ถ้าเห็น ยางบวม/ปริ/แตกชั้น หรือ ล้อเสียรูปหนัก → หยุดใช้ ห้ามวิ่งเร็ว เปลี่ยนยาง/ล้อทันที
ลำดับการแก้ไขแบบเป็นขั้นตอน
- ความปลอดภัยมาก่อน: พบยางบวม/บาดลึก/ล้อแตก → เปลี่ยนอะไหล่สำรองหรือเรียกช่วยเหลือ
- เอาสิ่งแปลกปลอมออก: หิน/น็อตในดอกยาง แล้วตรวจรั่วด้วยน้ำสบู่
- ตั้งแรงดันตามสเปก: เติมลมตามสติ๊กเกอร์ประตู/คู่มือรถ (ตรวจทุกเดือน)
- ถ่วงล้อ + ตั้งศูนย์: หลังเจอแรงกระแทก/ยางเสียรูปเล็กน้อย ให้บาลานซ์และตั้งศูนย์ใหม่
- ทดสอบวิ่งสั้น ๆ: ทางตรงเรียบ 60–100 กม./ชม. ฟังอาการอีกครั้ง
- เข้าศูนย์ตรวจเชิงลึก: หากยัง “ตุบ–ตุบ” ชัด ให้ช่างตรวจล้อคด ดุม/ลูกปืน/คาลิเปอร์
ป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
- เลี่ยงหลุม/ขอบคมที่ความเร็วสูง และลดความเร็วทันทีเมื่อถนนเละ
- อย่าบรรทุกเกิน ค่า Load Index ของยาง
- สลับยางทุก 8,000–10,000 กม. เพื่อลดสึกผิดรูป
- เช็กทอร์กนอตล้อ หลังถอด–ใส่ล้อใหม่ “ราว 50–100 กม.”
- ตรวจลมสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงอากาศแปรปรวน/เดินทางไกล
เลือกยาง NITTO ให้ตรงงาน ลดโอกาส “ตุบ–ตุบ”
- เน้นถนนดำ นุ่ม–นิ่ง–เงียบ (รถเก๋ง) → NT860
- SUV/CUV เน้นสบาย–เงียบในเมือง/ทางด่วน → NT421Q
- SUV ล้อใหญ่/แต่งสปอร์ต ใช้ทางด่วนบ่อย → NT420 SD
- ใช้งานลุย บุกบ่อ–หิน–ดิน → Ridge Grappler / Trail Grappler M/T / Mud Grappler
- โครงสร้างและแก้มยางเสริมความทนทาน รองรับแรงกระแทกจากเส้นทางโหดได้ดีกว่ายางถนนทั่วไป*
* หมายเหตุ: ยางสายลุยจะมีเสียง/แรงสะเทือนมากกว่ายางถนนตามธรรมชาติของลายดอก ควรสลับยางถี่ขึ้นและดูแลแรงดันให้เหมาะสม
เช็กลิสต์ก่อนออกทริป (กันพลาดกลางทาง)
- ไม่มีบวม/บาดลึก/ดอกหลุด
- ล้อไม่คด/ไม่รั่วซึม
- แรงดันลมตรงสเปก + สำรองลมเล็กน้อยหากบรรทุก
- นอตล้อขันครบและแน่นตามทอร์ก
- ถ่วงล้อ–ตั้งศูนย์ล่าสุดภายใน 10,000 กม.
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของ NITTO ได้ที่
🔎 ค้นหายางที่เหมาะกับรถคุณ: https://nittotire.in.th/products/1/list
🏪 รายชื่อศูนย์บริการทั่วประเทศ: https://nittotire.in.th/branches/list
🎉 โปรโมชั่นล่าสุด: https://nittotire.in.th/promotions/list
🗞️ ข่าวสารและกิจกรรม: https://nittotire.in.th/news/list